5 เหตุผลที่เราควรเลิกกินสัตว์ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ 9 วัน
ในที่สุดเทศกาลถือศีลกินเจก็จบลงไปแล้ว ใครหลายๆ คนที่ถือศีลและงดเว้นการกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เป็นเวลา 9 วันอาจจะโล่งใจเสียทีว่า “ในที่สุดก็กินแบบปกติได้สักที” และดีใจที่จะได้กลับไปกินเนื้อสัตว์อีกครั้ง วันนี้เราอยากจะลองชวนให้ทุกคนมาลองคิดทบทวนพฤติกรรมการบริโภคของเรา นี่คือหลายๆ เหตุผลที่ทำให้เราควรเลิกกินสัตว์ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ช่วงเทศกาล
1. เพื่อสุขภาพ
เนื้อไม่ได้ดีต่อสุขภาพเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่ไม่ดีเท่านั้นนะ เนื้อสัตว์ยังทำร้ายสุขภาพเราอีกต่างหาก องค์การอนามัยโลกจัดหมวดเนื้อแปรรูปให้อยู่ในกลุ่มที่ 1 ซึ่งหมายความว่า “มีหลักฐานที่ชัดเจน พิสูจน์ได้ว่ามีสารก่อมะเร็งแน่นอน” เนื้อขาวอย่างเนื้อไก่หรือเนื้อปลาก็ไม่ได้ดีต่อสุขภาพมากไปกกว่าเนื้อแดงเหมือนอย่างที่ใครหลายๆ คนเข้าใจกัน งานวิจัยฉบับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นเนื้อขาวหรือเนื้อแดงก็ทำให้คอเลสเตอรอลสูลขึ้นพอๆ กัน กระทั่งไข่ แหล่งโปรตีนโปรดของคนไทย ก็ไม่ได้ดีต่อสุขภาพอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมการแพทย์แห่งอเมริการะบุว่าไข่เป็นแห่งคอเลสเตอรอลหลัก และการบริโภคไข่สามฟองต่อสัปดาห์เพิ่มความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคทางหัวใจและโอกาสในการเสียชีวิต
2. เพื่อสิ่งแวดล้อม
เนื้อไม่ได้แค่ทำร้ายสุขภาพเราเท่านั้น แต่ยังทำลายโลกของเราจากก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์มีก๊าซที่ปล่อยจากการปศุสัตว์ 14.5 ถึง18 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า เนื้อวัวมีส่วนรับผิดชอบในการปล่อยก๊าซ 41 % ส่วนการผลิตนมก็มีส่วนรับผิดชอบถึง 20%
กระทั่งองค์กรระดับโลกอย่างองค์การสหประชาชาติก็ยอมรับแล้วว่าโลกของเราจะผ่านพ้นวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปได้ ก็ต่อเมื่อมีกระแสการเปลี่ยนแปลงไปกินอาหารที่มาจากพืช
3. เพื่ออนาคตของลูกหลาน
“พวกคุณขโมยอนาคตของเรา” - เกรต้า ธุนแบร์ก
ดูจากหายนะทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ คำพูดข้างต้นของเกรต้า ธุนแบร์กวัยรุ่นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินจริง โลกใบนี้ที่เราใช้ชีวิตอยู่ รวมถึงหายนะที่คนรุ่นเราและรุ่นก่อนๆ สร้างไว้จะตกทอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน (ถ้าหากว่าโลกของเรายังอยู่รอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของเรานะ) ถ้าหากว่าคุณมีลูกมีหลาน คุณอาจจะต้องเริ่มคิดถึงอนาคตของพวกเขา แล้วก็เลิกบริโภคอาหารที่ทำลายโลกเสียที
4. เพื่อสิทธิมนุษยชน
ฟิลิป แอลสตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า วิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชน ทำให้เกิด “การแบ่งชนชั้นทางภูมิอากาศ”
กลุ่มประชากรที่ยากจนและด้อยโอกาสจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ในขณะกลุ่มประชากรที่มีฐานะจะมีเงินพอซื้ออาหารที่ราคาสูงขึ้น และลี้ภัยจากความขัดแย้งและภัยธรรมชาติได้
ข้อมูลจากองค์กร WWF ระบุว่ากว่า 79% ของผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองที่ผลิตในโลกนี้ ถูกนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ในการปศุสัตว์ กว่าจะได้เนื้อวัวมา 1 กิโลกรัมต้องใช้ถั่วเหลือง 7 กิโลกรัม เนื้อหมู 1 กิโลกรัม ต้องใช้ถั่วเหลือง 4 กิโลกรัม ถ้าหากไม่มีการบริโภคเนื้อสัตว์ล่ะก็ โลกนี้อาจจะไม่มีปัญหาเรื่องความอดอยากก็เป็นได้
การบริโภคอาหารทะเล โดยเฉพาะในประเทศไทย เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ข้อมูลจากฮิวแมนไรทส์วอทช์ ระบุว่า ในอุตสาหกรรมการประมงพาณิชย์ตอนนี้มีคนงานอพยพประมาณ 4.5 ล้านคน บางคนเป็นผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร และหลายๆ คนก็ต้องตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกดขี่ระหว่างที่ทำงานบนเรือประมง
5. เพื่อสัตว์
ไม่ต้องไปหางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ไหนมาพิสูจน์ว่าเนื้อที่เราเห็นตามตลาดหรือในซุปเปอร์มาร์เก็ต ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัตว์ที่มีชีวิตและลมหายใจ และถูกฆ่ามาเพื่อเป็นอาหาร เราทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ใครหลายๆ คนกลับเลือกที่จะปฏิเสธว่าเนื้อสัตว์มาจากการฆ่า
สัตว์เหล่านี้ใช้ทั้งชีวิตถูกกักขังอยู่ในพื้นที่แคบๆ แสดงความรักต่อครอบครัว หรือเข้าสังคมกับสัตว์อื่นๆ ไม่ได้เลย และยังต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคภัยและการตัดอวัยวะส่วนต่างๆ โดยไม่ใช้ยาชา พวกเขาไม่ได้ตายอย่างไม่เจ็บปวดทรมาน การฆ่าสัตว์โดยที่เจ้าของชีวิตไม่ยินยอมไม่มีวันที่จะเป็นการฆ่าอย่างมีมนุษยธรรมไปได้เลย
ถือเป็นเรื่องให้ชื่นใจ ที่มี 9 วัน ในหนึ่งปีช่วงเดือนตุลาคมแบบนี้ ที่คนไทยหลายๆ คนหันมามาเปิดหัวใจและเลือกบริโภคอาหารที่เมตตาต่อสัตว์มากขึ้น นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเรามีความเมตตา และลึกๆ แล้วเราต่างก็รู้ว่าสัตว์ไม่สมควรต้องตายเพื่อมาเป็นอาหาร
ซิเนอร์เจีย แอนิมอล อยากขอชวนทุกคนที่เข้าร่วมเทศกาลกินเจเป็นเวลา 9 วัน มาลองคิดทบทวนดู อะไรดลใจให้คุณเข้าร่วมเทศกาลกินเจตั้งแต่แรก เป็นเพราะว่าคุณรู้ว่าสัตว์เขาก็อยากมีชีวิตอยู่ และอยากละเว้นชีวิตพวกเขาใช่หรือเปล่า?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อะไรทำให้คุณคิดจะเลิกบริโภคอาหารที่เปี่ยมเมตตาเช่นนี้ แล้วถ้าหากว่าคุณละเว้นชีวิตพวกเขาได้ตลอดชีวิต มีเหตุอะไรที่ทำให้คุณคิดว่าทำเพียงเก้าวันก็เพียงพอ? ถ้าหากคุณมีคำตอบเราก็อยากฟังค่ะ
Comments